กำไรเพิ่มขึ้นได้ทุกเมนูในร้าน แค่เปลี่ยนข้าวทุกจานเป็น Heathy Rice

“ข้าว” ถือเป็นอาหารจานหลักของคนไทยที่ขาดไม่ได้ในทุกมื้อ ซึ่งสำหรับร้านอาหารแล้ว ยิ่งใช้ข้าวที่มีคุณภาพมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ลูกค้าประทับใจ และอยากกลับมาใช้บริการบ่อยได้มากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ประกอบกับกระแสการใส่ใจดูแลสุขภาพและรูปร่าง การเปลี่ยนจากข้าวธรรมดาๆ มาเป็น Healthy Rice หรือ ข้าวสุขภาพ ในเมนูต่างๆ จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ ที่จะช่วยทำให้ร้านอาหารได้รับความสนใจ และทำกำไรได้เพิ่มากขึ้น โดยข้อดีของการใช้ข้าวสุขภาพในเมนูอาหารนั้น มีดังต่อไปนี้

1. เปลี่ยนเมนูธรรมดาให้กลายเป็นเมนูพิเศษเพื่อสุขภาพ ดึงดูดความสนใจลูกค้าได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มคนรักสุขภาพ
2. สร้างสรรค์เมนูใหม่ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เปลี่ยนจากข้าวที่เคยใช้มาเป็นข้าวสุขภาพเท่านั้น
3. สีสันของข้าวสุขภาพ อาทิ ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ มีความแปลกใหม่แตกต่าง ทำให้ดูน่าทานมากขึ้น
4. สร้างมูลค่าเพิ่มให้เมนูอาหารได้ เพราะข้าวสุขภาพมีความพิเศษกว่า ตั้งราคาขายได้สูงกว่า ทำกำไรได้มากกว่า
5. ทำให้เมนูอาหารมีเรื่องราว มี Story สำหรับใช้เล่าประชาสัมพันธ์สร้างยอดขาย สร้างกระแสให้ร้านดูน่าสนใจได้ง่ายมากขึ้น

คำนวณต้นทุนข้าวอย่างไร ให้ทำกำไรได้ดังใจต้องการ

ในการคำนวณต้นทุน “ข้าว” แต่ละจาน สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ ข้าวสารหรือข้าวดิบ 1 กิโลกรัมที่เราซื้อมานั้น หุงแล้วได้ข้าวปริมาณเท่าไร และ ในเมนูแต่ละจานของร้านเราใช้ข้าวปริมาณเท่าไร เพื่อให้สามารถคำนวณหาต้นทุนที่แท้จริงได้ ยกตัวอย่างเช่น

ข้าวกล้องดิบไรซ์เบอร์รี่ 1,000 กรัม (1 กก.)  – ราคา 100 บาท

นำมาหุงตามสูตรของร้านแล้ว ขึ้นหม้อเพิ่มเป็น 2,000 กรัม (2 กก.)  

ดังนั้น ต้นทุนที่แท้จริงของข้าว จะเท่ากับ 100/2,000  – 0.05 บาท ต่อ กรัม

ถ้า 1 เสิร์ฟ ใช้ข้าว 100 กรัม ต้นทุนข้าวไรส์เบอร์รี่ 1 จาน จะได้ 0.05x100 เท่ากับ  – 5 บาท ต่อ 100 กรัม

 ดังนั้น ถ้า 1 เมนูเสิร์ฟ เราใช้ข้าว 100 กรัม ก็ต้องตั้งราคาเฉพาะข้าวให้มากกว่า 5 บาท จึงจะได้กำไร ทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้ว ข้าวที่หุงได้ 2 กิโลกรัม เราก็อาจจะใช้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะจะมีส่วนที่ติดก้นหม้อ ใช้ไม่ได้ ทำให้หากคำนวณจริงๆ ต้นทุนข้าวก็อาจจะสูงกว่า 0.05 บาทต่อกรัมได้ ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งสำคัญในการคำนวณต้นทุนข้าวที่แท้จริง จึงต้องมีสูตรการหุงที่ดี ที่ทำให้ข้าวขึ้นหม้อได้มากที่สุด ต้องหุงได้อย่างมีมาตรฐานทุกครั้ง ในขณะเดียวกันก็ต้อง “หาปริมาณข้าวที่ใช้จริงให้ได้” คือต้องตัดส่วนติดก้นหม้อทิ้งไปด้วย ก่อนนำมาคำนวณ จึงจะได้ราคาต้นทุนข้าวที่แท้จริง เช่น ถ้าหุงได้ 2,000 กรัม แต่ติดก้นหม้อ 100 กรัม ก็จะเหลือใช้จริงที่ต้องนำไปคำนวณต้นทุนคือแค่ 1,900 กรัม นั่นเอง

กล้องหอมมะลิ Vs ไรซ์เบอร์รี่

ข้าวสุขภาพดีที่ร้านอาหารควรมีไว้ติดเมนู

ปัจจุบันข้าวสุขภาพที่ถือว่าได้รับความนิยมสูงที่สุดนั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ และ ข้าวกล้องหอมมะลิ 100% ซึ่งสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารที่ต้องการข้าวสุขภาพไปใช้สำหรับเพิ่มมูลค่าให้เมนูอาหารที่ร้านนั้น ก็สามารถหาซื้อได้ง่ายๆ ที่ Makro ทุกสาขา โดยข้าวสุขภาพทั้ง 2 ชนิดนี้ มีคุณประโยชน์ และข้อดีที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ 10% ตรา ARO

• มีวิตามิน E สูง มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดลิ่มเลือด การอุดตัน และการแตกของเส้นเลือด ตลอดจนช่วยลดอาการอักเสบในร่างกายที่นำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ ได้
• มีวิตามิน B1 ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อ่อนเพลีย บำรุงหัวใจให้ทำงานปกติ และยังช่วยป้องกันการเป็นตะคริวและการปวดกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี
• มีไฟเบอร์สูง ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
• ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี ลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ และยังทำให้ร่างกายย่อยน้ำตาลได้ช้า จึงส่งผลให้อิ่มนาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ลดน้ำตาล ดูแลรูปร่างและสุขภาพให้แข็งแรง
• ทานร่วมกับอาหารได้หลากหลาย เหมาะสำหรับการนำไปสร้างสรรค์เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ
• คุ้มค่า ราคาประหยัด เพียงกิโลกรัมละ 72 บาท

ข้าวกล้องหอมมะลิ 100% ตรา ARO

• มีธาตุเหล็กสูง ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง และเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ทำให้แข็งแรง เจ็บป่วยยาก
• มีแร่ธาตุและวิตามิน ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจำนวนมาก
• คัดสรรจากพันธุ์ข้าวกล้องหอมมะลิแท้ มีจมูกข้าวหุ้มเมล็ด ให้คุณค่าทางอาหารสูงกว่าข้าวกล้องทั่วไป
• เหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ ต้องการควบคุมน้ำหนัก ดูแลรูปร่างและสุขภาพให้แข็งแรง
• ข้าวมีรสชาติอร่อย เหนียวนุ่ม ขึ้นหม้อ ทานง่าย มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน
• ทานร่วมกับอาหารได้ทุกชนิด เหมาะสำหรับการนำไปสร้างสรรค์เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ
• คุ้มค่า ราคาประหยัด 1 ถุง บรรจุ 5 กิโลกรัม เพียง 205 บาท

สนใจสั่งซื้อข้าวสุขภาพง่ายๆ ทางออนไลน์ได้ที่ https://bit.ly/2RYjpTL