ถ้าจะให้นิยามสั้นๆ แบบกระชับๆ สำหรับคำจำกัดความของ “เนื้อดรายเอจ” (Dry-Aged) เป็นวัตถุดิบที่ “เนื้อนุ่มที่สุด” เพราะ “เนื้อดรายเอจ” (Dry-Aged) คือ เนื้อที่ผ่านกระบวนการ “บ่ม” ด้วยความเย็นอุณหภูมิ 0-5 องศาเซลเซียส ท่ามกลางการควบคุมความชื้นไม่เกิน 70% ภายในระยะเวลาที่กำหนดอย่างเหมาะสม เพื่อให้ “เอนไซม์” ตามธรรมชาติภายในตัวเนื้อวัว “ย่อยเนื้อตัวมันเอง” ทำให้เนื้อที่ผ่านการดรายเอจแล้วมีความนิ่ม นุ่ม และมีรสชาติของความเป็นเนื้อที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นกว่าเนื้อปกติ ที่แล่สดแล้วนำมาปรุงโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการใดเลย ทั้งนี้ ระยะเวลาของการ Dry-Aged ที่เหมาะสมนั้น ปกติจะอยู่ที่ 1 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชิ้นส่วนของเนื้อด้วยว่าเป็นส่วนไหน แต่ยิ่ง Dry-Aged นานเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เนื้อมีความนุ่มมากยิ่งขึ้นเท่านั้น โดยสำหรับบางร้านอาหารแล้วเพื่อให้ได้สุดยอดเนื้อที่รสชาติเข้มข้นและนิ่มที่สุด ก็มักทำการ Dry-Aged เนื้อ หรือเลือกใช้เนื้อที่ Dry-Aged นานมากกว่า 100 วันเลยทีเดียว
เหตุผลที่ทำให้เนื้อดราจเอจ ขายแพงพิเศษได้มากกว่าเนื้อทุกชนิด
แน่นอนว่าเนื้อยิ่งนุ่ม นิ่ม มีรสชาติดี ย่อมเป็นวัตถุดิบที่ทำให้ร้านอาหารสามารถนำไปผลิตเป็นเมนูขายได้ราคาดี และมีกำไรเพิ่มมากขึ้นได้ แต่เหตุผลเรื่องความนุ่ม ไม่ใช่เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เนื้อดรายเอจ มีราคาแพงกว่าเนื้อปกติทั่วไป หากแต่เพราะกระบวนการ Dry-Aged นั้น ทำให้เนื้อต้องสูญเสียน้ำหนักตั้งแต่ต้น โดยการแขวนซากไว้ในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิที่ ระหว่างนั้น ซากจะเริ่มสูญเสียน้ำ และความชื้นไป ทำให้น้ำหนักซากลดลง อีกทั้งเนื้อที่ผ่านการบ่มจะมีกลิ่นรสเฉพาะตัว ถือว่าเป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูง เพื่อแลกมากลับเนื้อที่นุ่ม หอม เพิ่มขึ้น
เหตุผลสำคัญที่ร้านค้าเลือกใช้เนื้อดรายเอจอยู่ 2 ข้อ คือ
1. รสชาติ ความนุ่ม ที่ยอดเยี่ยม
เพราะเนื้อดรายเอจมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มีความนุ่มที่หาเนื้อตัวไหนเทียบเคียง ดังนั้น สำหรับคนทานเนื้อแล้ว นี่คือจุดขายที่จะดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านได้ไม่ยาก กลับกันเลยหากเราเลือกใช้เนื้อที่คุณภาพไม่ดี ก็จะเท่ากับทำลายความคาดหวังของลูกค้า และกลายเป็นผลักดันให้ลูกค้าไม่กลับมาทานซ้ำเพราะความผิดหวัง
2. คำว่า Dry-Aged ขายได้ด้วยตัวมันเอง
สำหรับสายเนื้อทุกคนนั้น Dry-Aged คือคำการันตีว่าพวกเขาจะได้ทานเนื้อที่นุ่ม อร่อย ละลายในปาก ไม่ติดฟัน กิน ฟิน ไปแบบเพลินๆ อย่างที่ตั้งใจเอาไว้แน่ๆ ซึ่งยิ่งมีการเคลมจำนวนวันว่าผ่านการ Dry-Aged มานานเท่าไร ก็ยิ่งเหมือนจุดไฟสุมใจให้รุ่มร้อนอย่างลิ้มลองมากเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าราคาขายจะแพงเกินไปจนคนรักเนื้อทุกคนสู้ไม่ไหว เพราะสำหรับเนื้อดรายเอจแล้ว เมนูเสต็กเนื้อดรายเอจทั่วไปบนโรงแรมที่นักชิมต่างไปเข้าแถวพิสูจน์รสชาติ ก็มีราคาต่อจานไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทขึ้นไปทั้งนั้น ดังนั้นแล้ว คำว่า Dry-Aged จึงไม่ใช่เพียงแค่ชื่อกระบวนการผลิตเนื้อชั้นดีเท่านั้น แต่เป็นเสมือนเครื่องหมายการค้าที่การันตีโอกาสขายได้เอาไว้แล้วอยู่พอสมควรเลย โดยเฉพาะกับสายเนื้อทั้งหลาย
สุดท้ายนี้ สำหรับเพื่อนๆ ผู้ประกอบการท่านใดที่อยากนำเอาเนื้อดรายเอจไปลองทำเมนูดูบ้าง หรือสำหรับร้านไหนที่ใช้เนื้อดรายเอจเป็นวัตถุดิบหลักของร้านอยู่แล้ว และกำลังมองว่าเนื้อดรายเอจทางเลือกใหม่ๆ ที่ดีมีคุณภาพล่ะก็ ทีมงานเพื่อนแท้ร้านอาหารของแนะนำเนื้อดรายเอจของ “โปร บูชเชอร์” ครับ โดยมีข้อดีที่เกิดมาเพื่อผู้ประกอบการร้านอาหารโดยเฉพาะเลย ดังต่อไปนี้
• คัดเลือกเนื้อวัวสายพันธุ์ดี โคขุนผสมสายพันธุ์ชาโลเล่ วัวเนื้อสายพันธ์ดี
• เป็นเนื้อที่เลี้ยงในฟาร์มมาตรฐาน ภายใต้หลักสวัสดิภาพสัตว์
• ปลอดภัยจากสารเร่งเนื้อแดงและยาปฏิชีวนะตกค้าง
• เป็นเนื้อที่มีความชุ่มฉ่ำ นุ่มลิ้น มีระดับไขมันแทรกในเนื้อสูงกำลังดี
• ผ่านกระบวนการดรายเอจอย่างน้อย 21 วัน จึงทำให้มั่นใจได้ว่านุ่มแน่นอน
• ตัดแต่งให้เรียบร้อยใช้ได้ 100% ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมวัตถุดิบอีก ให้เหลือ Waste ทิ้ง
• มีให้เลือกหลากหลายทุกชิ้นส่วนตามต้องการ ไม่ว่าจะสันนอก สันใน หั่นเต๋า สะโพก สันคอสเต็ก ฯลฯ
• สั่งซื้อได้ง่ายๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ ที่ MakroClick สะดวก ประหยัดเวลา
สนใจเนื้อดรายเอจคุณภาพ ราคาเป็นมิตรกับผู้ประกอบการร้านอาหารของโปร บุชเชอร์ ได้ที่นี่ https://bit.ly/37rYyNH รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน